ประวัติอาจารย์ สุบิน ชินพัฒน์


          เมื่ออายุประมาณ 13 - 14 ปี มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหมอดูท่านหนึ่ง ขณะนั้นอ.สุบินเป็นเด็กตัวเล็กๆ ได้เข้าไปนั่งสังเกตการดูหมออยู่ 3 - 4 เดือน ก็เป็นตัวเลข 7 ตัว ทำนายได้ ซึ่งขณะนั้น อ.สุบิน เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 4 โรงเรียนหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยใช้เลข 7 ตัวทำนายให้คุณบุญช่วย ชุ่มเชิงรักษ์ และขอให้คุณบุญช่วยตั้งใจสอบให้ดีๆ ก็ปรากฏว่าคุณบุญช่วยสอบตก อ. สุบินเลยถูกเตะ 1 ที หาว่าแช่งให้สอบตก และถูกคุณพ่อตีแทบตาย อ.สุบิน ได้พยายามศึกษาหาความรู้ต่อมา ถึงขนาดทราบวิธีเลข 7 ตัวชั้นสูง แต่ยังไม่มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านผู้ใด จึงไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปทางด้านเลข 7 ตัว
          ต่อมาอายุประมาณ 16 - 17 ปี วันหนึ่ง อ.สุบิน ไปนั่งเล่นหมากรุกอยู่ที่ตรอกพุด ถนนบรรทัดทอง ซึ่งเป็นบริเวณสนามกีฬาในปัจจุบันนี้ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชอบใจ อ.สุบิน ว่าเป็นเด็กที่เล่นหมากรุกเก่งมาก ผู้ใหญ่ทั้งหมดในตรอกพุดแพ้แก่ อ.สุบิน ทั้งหมด (ในเรื่องหมากรุกนั้น อ.สุบิน เคยชนะเลิศหมากรุกนักเรียนเมื่อ พศ. 2481) ผู้ใหญ่ท่านนั้นจึงเดินมาสั่งว่าเย็นนี้ให้รอกินข้าวด้วยกันที่บ้าน ซึ่งใครๆ ก็เรียกกันว่า เฮียใช้ แต่อ. สุบิน เรียกท่านว่าน้าใช้ เมื่อทานข้าวเสร็จน้าใช้ก็ให้มานั่งข้างๆ และได้หยิบกระดานหมอดูออกมา เป็นกระดานใหญ่มาก ซึ่งอ.สุบินเคยเห็นแต่กระดานหมอดูเลข 7 ตัว เป็นกระดานไม่ใหญ่ขนาดนี้ น้าใช้ได้ถามถึงวันเดือนปีเกิด ซึ่งตรงกับวันศุกร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ปีระกา ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม 2464 เวลาประมาณ 14.10 น. น้าใช้จึงลงตัวเลข ทำการบวก ลบ คูณ หาร เต็มกระดานใหญ่นั้น แล้วก็เขียนรูปดวงชะตาขึ้นมา แล้วก็ทำนายว่าต่อไป อ.สุบินจะไม่มีใครสู้ อ.สุบินก็คาดไม่ถูกจนกระทั่งบัดนี้ว่าจะไม่มีใครสู้เรื่องอะไร แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของอ. สุบิน ที่ได้เห็นดวง และเห็นถึงการผูกดวงของคนสมัยเก่า จะต้องเริ่มต้นเรียนคัมภีร์พระสุริยยาตร์ก่อน จึงจะคำนวณได้ว่าพระเคราะห์ใดพักร หรือไม่พักร แล้วจึงผูกดวงขึ้นมา
          เมื่อได้เห็นดวงแล้วรู้สึกสนใจมาก สามารถคิดได้ในขณะนั้นว่าดวงจะต้องเหนือกว่าเลข 7 ตัวแน่ เพราะการทำนายของดวงไม่เหมือนกับแบบเลข 7 ตัว ซึ่งอ.สุบินเป็นเลข 7 ตัวอยู่แล้ว ยังไม่ทราบเลยว่าจุดใดของเลข 7 ตัวจะทำนายได้ว่าไม่มีใครสู้ อ.สุบินจึงถามน้าใช้ว่าจะขอเรียนดวงบ้างได้หรือไม่ น้าใช้ตอบว่าน้าใช้เองก็กำลังเรียนอยู่ จะต้องรอวันเสาร์ - วันอาทิตย์ให้ครูกลับออกมาจากวังแล้วจึงได้เรียนต่อ
          อย่างไรก็ตามอ.สุบินก็ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาดวง จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยม 8 อายุไม่ถึง 18 ปี ก็ไปทำงานที่โรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2482 เดินผ่านสี่แยกบางขุนพรหมทุกวัน เห็นสำนักงานจันทรสารก็รู้สึกสนใจ ตอนนั้นอ.สุบินได้ทราบมาว่า ท่านจันทรสาร เป็นที่ 2 ส่วนหม่องสุริยะตรงหลีกรถราง แม้นศรีเป็นที่ 1 สำหรับอ.สุบินนั้นสนใจโหราศาสตร์ไทย จึงพยายามเก็บเงินไปดูหมอกับท่านจันทรสารหลายครั้ง พยายามใช้วิธีครูพักลักจำเพื่อให้ได้รับความรู้เรื่องดวง
          การที่ได้มาดูหมอกับท่านจันทรสารก็ได้พบเห็นความผิดแผกแตกต่างไปจากน้าใช้ เพราะก่อนน้าใช้จะผูกดวงจะต้องคำนวณตัวเลขอยู่เต็มกระดานแผ่นใหญ่ จึงจะผูกเป็นรูปดวงชาตาขึ้นมา แต่ท่านจันทรสารไม่มีการคำนวณเลย ท่านจันทรสารอ่านปฏิทินออกมาลงตัวเลขในดวงชาตาอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งนักโหราศาสตร์ทั้งหลายในปัจจุบันก็ใช้วิธีเช่นนี้ ตอนนั้นอ.สุบินจึงเก็บความสนใจประเด็นนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว
          มีอยู่ครั้งหนึ่ง อ.สุบินสืบทราบว่าวันพุธกลางคืนใช้ภูมิราหูได้มีต้นตอมาจากท่านจันทรสาร จึงชวนเพื่อนคนหนึ่งเวลาเกิด 18.30 น. วันพุธ พาไปดูหมอท่านจันทรสาร โดยอ.สุบินออกเงินค่าดูหมอให้ แล้วอ.สุบินนั่งคอยฟังอยู่ด้วย ปรากฏว่าในระหว่างดูหมออยู่นั้น อ.สุบิน สังเกตุได้ว่าท่านจันทรสารใช้พุทธภูมิ ไม่ได้ใช้ราหูภูมิ อ.สุบินได้เก็บความสงสัยไว้รอจนกระทั่งเสร็จสิ้นการทำนายแล้วจึงยกมือไหว้ทำความเคารพท่านจันทรสาร แล้วขออภัย ถามท่านจันทรสารเหตุใดจึงไม่ใช้ภูมิราหู ท่านจันทรสารชี้แจงว่าเขาเกิด 18.30 น. ยังเป็นยาม 9 วุทโธ จึงยังต้องใช้ภูมิพุธ อ.สุบินดีใจที่ได้รับคำตอบไว้เป็นแนวทางของความรู้ จึงยกมือไหว้อีกครั้ง แล้วถามว่าถ้าเช่นนั้นจะต้องเป็นเวลาเกิดตั้งแต่ยาม 10 ระวิ จึงใช้ภูมิราหูใช่หรือไม่ ท่านจันทรสารยิ้มอย่างกว้างขวาง และกล่าวว่า ไอ้หนูตัวแค่นี้ก็มีความรู้ถึงขนาดนี้แล้วหรือ นี่ถ้าขอยกครูเป็นศิษย์จะรับทันที
          ในชีวิตของ อ.สุบินไม่ได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์กับบุคคลท่านใด เพราะ อ.สุบินมีความพึงพอใจอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งต้องการจะดั้นด้นไปยังสำนักของทุกท่านถ้ามีโอกาส และทุกแห่งต่างก็ไม่มีใครรังเกียจเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งนั่งอยู่อย่างเรียบร้อยและสงบเสงี่ยม ถ้าเจ้าสำนักจะพูดจาด้วยประการใดก็จะยกมือไหว้ก่อนแล้วจึงจะพูดตอบอย่างมีสัมมาคารวะ ทำให้ อ.สุบินได้รับความรู้สืบมาในแบบครูลักพักจำ แล้วนำมาไตร่ตรองดูด้วยตนเอง ว่าส่วนใดสมควรจะยืดถือไว้ได้อย่างจริงจังหรือไม่ ตอนนั้นถ้า อ.สุบิน มีเวลาว่างก็บำเพ็ญตนเองเป็นหมอดูสมัครเล่น ทำนายถูกทำนายผิดไปตามแต่ละเรื่อง แต่ในส่วนลึกของหัวใจก็ได้พยายามสืบค้นอยู่ว่าตำราโหราศาสตร์ที่แท้จริง ซึ่งจะให้ความแน่นอนได้อย่างจริงจังนั้นไม่มีแล้วหรือ ก็ได้พบผู้ใหญ่บางท่านที่เคารพนับถือกระทำการชี้แจงให้ทราบว่าโหราศาสตร์ได้ขาดหายไปส่วนหนึ่ง
          อาจารย์สุบินได้ใช้ความพยายามไตร่ตรองหลักโหราศาสตร์ที่พูดกันอยู่ในแวดวงนักโหราศาสตร์อยู่เป็นเวลานาน ด้วยการยึดมั่นในศีล 5 และยึดถือสัจจะอย่างเคร่งครัดโดยไม่ออกปากร้องขอแก่ผู้ใดไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน กระทั่งเคยมีเงินติดตัวเพียง 1.50 บาท จนสามารถกลั่นกรองหลักการที่ไม่ถูกต้องของโหราศาตร์จนกระทั่งเหลือหลักการที่สอดคล้องและลงกันจนสรุปได้ว่าโหราศาสตร์สุริยยาตร์เริ่มถูกบิดเบือนในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจากภายหลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ตำราต่างๆและพวกพราหมณ์ก็แตกกระจัดกระจายไป พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้พวกมอญมาเป็นพระยาโหราธิบดีที่มีแนวทางการทำนายแบบพื้นบ้าน นำเอาทักษาเข้ามาผสม จนไม่ทราบวิธีการทำนายแบบดั้งเดิม สมัยหลังๆนักโหราจารย์ก็มีการพัฒนาที่สำคัญคือนำเอาวิธีการทำนายแบบเลข 7 ตัวเข้ามาใช้ในโหราศาสตร์ ทำให้วิธีการทำนายแบบโหราศาสตร์สุริยยาตร์จริงๆเริ่มอันตรธานหายไป
          หลังสืบค้นโหราศาตร์มาเป็นเวลากว่า เกือบ 40 ปี อ.สุบินเริ่มแน่ใจว่า ฝ่ายภพของโหราศาสตร์นั่นเองเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากโหราศาสตร์ ช่วงที่อ.สุบินค้นภพฝ่ายภพของโหราศาสตร์ โหราจารย์ร่วมสมัยขะมักเขม้นในการตีความบทกลอนพระเคราะห์คู่ของหลวงปู่นวมอยู่ น่าจะเป็นราวปี 2515
          ซึ่งหลังจากนั้นช่วงปี 2517-20 อ.สุบินเริ่มนำเสนอหลักวิชาการของตนตามหนังสือโหราศาสตร์สมัยนั้น อาทิ หนังสือโหราจารย์ และสหพันธ์พยาการณ์ รวมถึงมีการบรรยายตามที่ต่างๆ แต่ไม่ได้รับความสนใจเนื่องจากเป็นหลักวิชาที่แปลกไปจากคนสมัยนั้นเคยศึกษากันมา มีการพูดถึงเรื่องฝ่ายนาคา ฝ่ายเทวา ฝ่ายภพ และฝ่ายราศีเกณฑ์ ซึ่งอ.สุบินยืนยันว่าเป็นหลักวิชาจากสุริยยาตร์ที่แท้จริงที่ใช้กันในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อเรียกตามแบบที่อ.สุบินใช้ตั้งขึ้นมาเพื่อง่ายต่อการอธิบายเท่านั้น ไม่ได้เป็นการบัญญัติหลักวิชาขึ้นใหม่ แต่หลายคนก็ไม่เข้าใจ บางคนกลับท้าให้อ.สุบินนำหลักฐานต้นคัมภีร์ที่อ.สุบินค้นคว้ามายืนยัน ด้วยความยึดมั่นในหลักการตน และไม่ยอมเรียกหลักวิชาที่ตนเองค้นพบว่าโหราศาสตร์อีกแบบหนึ่ง แต่กลับเรียกว่าโหราศาสตร์ที่แท้จริง ทำให้กระทบกระทั่งทางความคิดกับนักโหราศาสตร์ที่รู้จักในเวลานั้น จนไม่ได้รับการยอมรับ
          อ.สุบินเคยพบกับอ.จำรัส ศิริ และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อ.จำรัสได้เคยปรารภว่าตั้งแต่เกิดมาได้เคยเจอโหราศาสตร์ที่มีหลักวิชาที่แน่นอนเป็นเหตุเป็นผลก็คราวนี้ เสียดายที่ตัวเองเป็นไม้ใกล้ฝั่งคงไม่มีโอกาสได้ลองศึกษาดู
          ด้วยความพยายามถ่ายทอดหลักวิชาออกไปในวงกว้าง อ.สุบินได้พยายามเขียบบทความลงโหราเวสม์ระหว่างปี 2523-35 และได้จำหน่ายเอกสารเป็นวิทยาทานทางไปรณีย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากหลักวิชาค่อนข้างเข้าใจยาก จึงเหลือผู้สนใจเพียงไม่กี่คนที่รับเอกสารอย่างต่อเนื่อง
          บั้นปลายชีวิตอ.สุบินตั้งโต๊ะพยากรณ์อยู่ตรงข้ามห้างพันทิพย์พลาซาหน้าร้านขายยาเมืองทองเภสัช ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์จากเจ้าของร้าน และพยายามเขียนตำราเรื่องพฤกษชาตาด้านกิจการงาน และสถานะเจ้าเกษตร์ไว้แต่ยังไม่จบ
          เรื่องประวัติอ.สุบินนี้ ข้าพเจ้าเรียบเรียงจากคำพูดที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรง และจากที่อ.สุบินบันทึกไว้ เพื่อแสดงถึงการเคารพ การกล่าวถึงโหราจารย์ท่านอื่น ไม่ได้ตั้งใจโอ้อวดแต่อย่างใด ด้วยข้อเขียนนี้ไม่ได้เจตนาจะเปิดเผยแก่ผู้ใดในวงกว้าง หากผู้ใดพบเห็นว่ามีข้อความที่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดี ผู้เรียบเรียงต้องขอโทษมา ณ ที่นี้

ลำดับผลงานของอ.สุบิน ชินพัฒน์
ปี 2533 ลำดับที่ 1 ดาวกระทบดาว
ปี 2534 ลำดับที่ 2 ดาวพระศุกร์
ปี 2535 ลำดับที่ 3 พระจันทร์ปทุมเกณฑ์
ปี 2539 ลำดับที่ 4 ทฤษฎีโหราศาสตร์ ภาค 1 (ฉบับแก้ไข) เน้นไปด้านวิชาการ ตัวอย่างน้อย
ปี 2540 ลำดับที่ 5 โลกวัฏฏะ ภาคหนึ่ง
ปี 2542 ลำดับที่ 6 พฤกษชาตาด้านกิจการงาน (ทำไว้ถึงหน้า 228)
ปี 2542 ลำดับที่ 7 สถานะเจ้าเกษตร์ (ทำไว้ถึงหน้า 96)
ปี 2542 ลำดับที่ 8 โหราศาสตร์นักษัตร (ทำไว้ถึงหน้า 32 พิมพ์ด้วยกระดาษ A4)
ไม่ทราบปี ลำดับที่ 9 สถานะเจ้าฤกษ์ เข้าใจว่าเป็นเอกสารส่งให้ผู้สนใจทางไปรษณีย์

ตั้งแต่ปี 39-42 ลำดับไม่ค่อยแน่นอน เพราะข้าพเจ้ารู้จักอ.สุบินประมาณก.ค.ปี 40 และอาจารย์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อ 8 ต.ค. 42 โดยงานลำดับ 6-8 ยังทำค้างไว้ไม่เสร็จ

แต่หากค้นดูจากเอกสารเก่าๆ พบว่าอ.สุบิน ยังมีผลงานอื่นๆอีก กล่าวคือ ชุดบทความลงหนังสือต่างๆ
ปี 2517-20 บทความในหนังสือโหราจารย์และสหพันธ์พยากรณ์
ปี 2523-35 บทความในหนังสือโหราเวสม์ ต้นฉบับจากโหราศาสตร์ ภาคหนึ่ง (ชุดเดิม) ที่รวมภาควิชาการกับทำนายไว้ด้วยกัน ส่งไปพิมพ์ในหนังสือโหราเวสม์ระหว่าง ม.ค.23-ส.ค.35

ชุดส่งเข้าประกวดวรรณกรรมธนาคารกรุงเทพ
ปี 2519 โหราศาสตร์นักษัตร ภาคหนึ่ง
ปี 2520 โหราศาสตร์นักษัตร ภาคสอง
ปี 2521 ทฤษฏีทางจิต
ปี 2522 ทฤษฎีทางวิญญาณ (ไม่ส่ง เพราะชุดปี 21 ที่ส่งไปไม่มีร่องรอยการอ่าน)

          สิ่งที่อ.สุบินอยากจะทำ แต่ยังไม่ทำคือ ทฤษฎีโหราศาสตร์ ภาค 2 เข้าใจว่าเป็นส่วนขยายของเรื่องเจ้าเรือนเงา และการทำนายจรด้วยเจ้าเกณฑ์ รวมถึงวิมโสตรีทศา และการใช้กาลโยค

ที่มา: http://www.payakorn.com/