แรงเอื้อมของดาว


          ในการพยากรณ์โดยใช้ระบบโหราศาสตร์ไทยนั้น จะมีอยู่สูตรหนึ่งที่ใครๆ ก็จะต้องได้เรียนรู้กันมาก่อนแล้วแทบทั้งสิ้น นั่นก็คือ-กฎแห่งแรงเอื้อมของดาวนั่นเอง หมายถึงการที่เราได้รู้ว่า ดาวนั้นบางดวงมีแรงเอื้อมเหนือไปจากจุดที่ตัวเองลอยอยู่ เช่น ดาวเสาร์มีแรงเอื้อมจากตัวเองไปยังภพที่สามและสิบ หรืออังคารมีแรงเอื้อมสี่และแปด เป็นต้น
          ซึ่งแรงเอื้อมเหล่านี้ก็คือแรงเอื้อมพื้นฐานที่เราได้นำมาใช้ในการพยากรณ์กันได้ทุกคน
แต่ก็ยังมีแรงเอื้อมของดาวที่นอกเหนือจากที่กล่าวนี้อยู่อีก และเป็นแรงเอื้อมที่เราจะต้องเรียนรู้กันเป็นพิเศษจึงจะรู้ได้ดี จนสามารถที่จะนำมาพยากรณ์ให้เกิดผลได้ถูกต้องเป็นอย่างดีด้วย แม้ว่าจะมีอีกไม่มากดวงนักก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะเป็นความจำเป็นสำหรับใช้ในการพยากรณ์ที่ต้องการความสำคัญ และทำให้เกิดผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เริ่มจากแรงเอื้อมพื้นฐานก่อนเลย
          แรงเอื้อมพื้นฐาน
               ดาวอังคาร มีแรงเอื้อม ๔ และ ๘ ราศี
               ดาวพฤหัสฯ มีแรงเอื้อม ๕ และ ๙ ราศี
               ดาวเสาร์ มีแรงเอื้อม ๓ และ ๑๐ ราศี
               ราหู มีแรงเอื้อม ๔ และ ๑๐ ราศี
          ทั้งสี่ดาวนี้นักเรียนโหราศาสตร์ทุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าคืออะไร แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้เลยว่า ไอ้แรงเอื้อมที่ว่านี้น่ะมันทำงานยังไง มันเอื้อมไปทำไม และจะเกิดประโยชน์กับการพยากรณ์ได้แค่ไหน? รู้แต่เพียงว่าดาวสี่ดวงนี้มี “แรงเอื้อม” อย่างที่ว่านี่เท่านั้นเอง
          ผมจะพูดถึง “แรงเอื้อม” ที่ว่านี้ให้ฟังกันพอรู้เรื่องก่อน เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานไปถึงแรงเอื้อมในสถานะที่สูงขึ้นกว่านี้อีก และเป็นการให้ความรู้แก่นักศึกษามือใหม่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงกฎแห่งแรงเอื้อมนี้ดีเท่าไรนักด้วย
          (๑) คำว่า “แรงเอื้อม” นี้หมายถึง พลังที่ดาวนั้นส่งไปยังจุดที่ตนเอื้อมถึง ส่งอะไรไป?
          (๒) ส่งความหมายหรือหน้าที่ที่ตนมีอยู่ไปยังจุดนั้น ส่งไปแล้วจะต้องถึงจุดเอื้อมนั้นทุกครั้งด้วยใช่ไหม?
          (๓) ไม่ใช่, ผลของการส่งจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อที่ราศีจุดนั้นมีดาวลอยอยู่ (เดิมหรือจรก็ได้ แล้วแต่กรณี) ส่งไปทำไม?
          (๔) ส่งไปเพื่อให้นำความหมายของดาวนั้นเข้าร่วมกับความหมายของดาว/ภพที่ลอยรับอยู่ตรงจุดนั้น เป็นการส่งเสริมการพยากรณ์ในเรื่องนั้นๆ ให้มีความถูกต้องมากขึ้น ยกมาให้ดูแค่ 4 ข้อนี่ก็คงจะพอทำให้มือใหม่เกิดความเข้าใจและมีความรู้ในเรื่องของแรงเอื้อมมากขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้มีเพียงแค่นี้
          กฎของแรงเอื้อมพื้นฐานนี้ยังต้องมีปัจจัยในการใช้อยู่อีก เพราะดาวส่งแรงเอื้อมไปได้จริงอย่างที่ว่า แต่ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องส่งไปตามคุณสมบัติที่ตนมีอยู่ตลอดไปหรอก คือไม่ต้องส่งไปตลอดเวลาที่ลอยอยู่ในราศีต่างๆ นั้นเลย จะส่งก็ต่อเมื่อผู้พยากรณ์มีความต้องการที่จะให้ดาวนั้นส่งแรงเอื้อมไปเพื่อผลการพยากรณ์ในเรื่องนั้นๆ เท่านั้น ถ้าเราไม่ต้องการให้ส่งก็ไม่ต้องส่ง เช่น เรากำลังตรวจทายเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวนั้นเลย เราก็ไม่ต้องใช้ดาวนั้นในการส่งแรงเอื้อม แต่ถ้าดาวนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย นั่นแหละเราจึงจะใช้ให้ดาวนั้นส่งแรงเอื้อมไปยังจุดที่เราต้องการ พูดง่ายๆ ก็คือ การใช้แรงเอื้อมพื้นฐานนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราซึ่งเป็นผู้พยากรณ์นั่นเอง
          อ้อ-ลืมบอกไปนิดนึงว่า แรงเอื้อมของราหูนั้นจะเอื้อมไปตามทิศทางโคจรของเขานะครับ คือสวนทางกับดาวปกติ (สัตตเคราะห์) หรือเดินตามเข็มนาฬิกานั่นแหละ และแรงเอื้อมของราหูนี้ยังมีความพิเศษนอกเหนือกว่าดาวอื่นๆ อยู่บ้าง เช่น ในมุมเกณฑ์สี่ที่เอื้อมไปนั้นท่านเรียกว่าเป็นเกณฑ์ศรี และมุมเกณฑ์สิบนั้นท่านเรียกว่ามุมกาลี

          อย่างที่เห็นอยู่ในรูปนี่แหละครับคือแรงเอื้อมของราหูเค้าละ จะสถิตที่ราศีไหนก็ใช้หลักเชิงมุมอย่างที่เห็นนี่ทุกราศีไป เชิงมุมที่แรงเอื้อมศรีตกนั้นมักจะทายในด้านดี เชิงมุมกาลีนั้นก็มักจะทายในด้านร้าย ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
          แต่โบราณท่านก็ไม่ได้ถือเอาว่าเชิงมุมทั้งศรีและกาลีนี้จะต้องเป็นมุมดีมุมร้ายเสมอไปนะครับ มันขึ้นอยู่กับ “ตัวเรื่อง” ที่เรากำลังพยากรณ์อยู่ด้วยว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย ถ้าเป็นเรื่องร้ายมาตกที่มุมกาลี ก็จะกลับเป็นดีแก่เจ้าชาตาไป
          ตรงนี้คือกลเม็ดของการทายละครับ ใครมีไหวพริบดีก็จะหาช่องหรือวิธีทายที่แยบยลได้ดีกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่มันก็ราหูตัวเดียวกันนี่แหละ
          ในบางครั้ง แรงเอื้อมของดาวไปตกยังจุดหรือภพที่เป็นทุสถานะอันให้โทษแก่ดวงชาตา ตรงนี้เราจะต้องใช้ดุลยพินิจในพิจารณาแรงเอื้อมของดาวด้วยว่า เราจะใช้แรงเอื้อมของดาวนั้นไหม แรงเอื้อมพื้นฐานของดาวนั้นมักมีอยู่สองจุด บางทีจุดหนึ่งดีจุดหนึ่งเสีย หรือดีทั้งสองจุด หรือบางทีก็เสียทั้งสองจุดเลยก็มี ดังนั้น การใช้จึงต้องตรวจให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นอาจจะทำให้การพยากรณ์ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงก็ได้
          ผมจะยกตัวอย่างให้ดูว่า ดาวส่งแรงเอื้อมไปยังราศีต่างๆ ได้อย่างไร และมีจุดดีจุดเสียตรงไหน
          
          จากรูปตัวอย่างที่เห็นอยู่นี้ คือการส่งแรงเอื้อมของดาวอังคารซึ่งมีแรงเอื้อมไปข้างหน้าสี่และแปดราศี ในกรณีเช่นนี้ ถ้าดวงนี้มีลัคนาสถิตที่ราศีกันย์ ทั้งสองจุดแรงเอื้อมของอังคารจะเป็นจุดทุสถานภพทั้งสองจุด ซึ่งจะให้ผลเสียแก่ชาตา แต่ถ้ามีลัคนาสถิตที่ราศีกรกฎ ทั้งสองจุดนี้ก็จะอยู่ในภพที่ดีของชาตาได้
          ตรงนี้แหละครับที่ผู้พยากรณ์จะต้องคำนึงถึงให้มาก และต้องตรวจด้วยทุกครั้งที่เราจะใช้แรงเอื้อมของดาวว่า จุดที่แรงเอื้อมตกนั้นให้คุณหรือโทษแก่เจ้าชาตา ซึ่งจะส่งไปถึงผลการพยากรณ์ด้วย
          การอ่านดาวและหน้าที่ของดาวนั้นสำคัญมาก ถ้าคุณลืมไป เห็นแต่เพียงว่าดาวนี้ส่งแรงเอื้อมไปยังจุดนั้นจุดนี้ได้ ก็หยิบเอามาเป็นตัวหลักในการพยากรณ์ ผลของมันอาจทำให้เกิดโทษแก่เจ้าชาตาก็ได้ทั้งๆ ที่บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องใช้ดาวดวงนี้เลย
          หรือบางทีเห็นว่าดาวดวงนี้ทำหน้าที่ดี และจุดเอื้อมก็เป็นจุดที่ให้คุณแก่ชาตาด้วย ก็หยิบเอามาพยากรณ์ทันทีทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นดาวตัวหลักของเรื่องที่จะทายเลย ผลก็คือคุณพยากรณ์ผิด คือผิดเรื่อง เขาต้องการรู้เรื่องหนึ่งแต่คุณไปทายเขาอีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกัน แบบนี้ก็ทำให้คุณเสียศรัทธาไปเหมือนกันนะครับ
          อนึ่ง แรงเอื้อมที่ดาวส่งไปนั้นจะต้องมีดาวรับอยู่ในจุดแรงเอื้อมนั้นด้วย ที่ต้องมีดาวสถิตอยู่ในราศีแรงเอื้อมนั้นก็เปรียบเสมือนกับมีผู้รับนั่นเอง เหมือนกับบุรุษไปรษณีย์นำพัสดุไปส่งยังจุดผู้รับ แต่ไม่มีผู้รับอยู่เลย แบบนี้บุรุษไปรษณีย์ก็ต้องนำพัสดุนั้นกลับ เพราะจะทิ้งไว้ที่นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็เช่นกัน ถ้าราศีนั้นว่างเปล่าก็เท่ากับแรงเอื้อมที่ส่งไปนั้นก็ว่างเปล่าเหมือนกัน ไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้น
          ที่มา: https://www.matichonweekly.com/column/article_71540